ในสุภาษิตสำนวนจีนมีไม่น้อยที่ดึงเอาสิงสาราสัตว์หยิบยกมาเอ่ยอ้างถึง ซึ่งคำพังเพยเปรียบเปรยเหล่านั้น ฟังดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวแต่ก็ยังอุตส่าห์หมุนเลี้ยวมาเกี่ยวพันกับมนุษย์เราได้เต็มๆ อาทิ สำนวนที่ว่า "จูเผิงโก๋วโหย่ว เพื่อนหมูมิตรหมา" ซึ่งเปรียบเปรยถึง สหายชั้นเลวที่เอาแต่กิน เกียจคร้าน ไม่เอาการเอางาน หรือ "จื่อจีม่าโก่ว ชี้ไก่ด่าหมา" ซึ่งหมายความตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ตีวัวกระทบคราด หรือการว่ากล่าวคนที่พูดจาไม่เป็นมงคล พวกปากเสียเหลือรับที่ไม่มีใครอยากคบค้าด้วยก็จะตำหนิติดปากกันว่า "อูยาจุ่ย ปากอีกา" ซึ่งจะหมูหรือหมา จะกาหรือไก่ ในความเป็นจริงแล้วต่างไม่ได้ทำผิดเป็นพิษภัยร้ายแรงอะไรต่อมนุษย์เรา แต่กลับต้องมาตกเป็นจำเลยถูกพาดพิงไปในทางไม่ดีซะส่วนใหญ่ อย่างนกกาในคติความเชื่อของชาวจีนนั้น มักถูกผูกโยงเข้ากับความอัปมงคล ตรงข้ามกับนกสี่เชวี่ย์ ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายอีกาแต่กลับได้รับการยกย่องให้เป็นนกมงคลของชาวจีน
นกสาริกาปากดำ หรือชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Pica pica ซึ่งมีลักษณะคล้ายอีกา ปากแหลม หางยาว ขนส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ บริเวณไหล่และท้องสีขาว ปีกสีน้ำเงินเป็นมันขลับ ชาวจีนเชื่อกันว่าเมื่อได้ยินเสียงร้องของสี่เชวี่ย์จะมีเรื่องมงคลมาหา ซึ่งตำนานชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้า ที่จะได้พบกันเพียงปีละครั้งในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติจีนนั้น สามารถข้ามมาพบกันได้โดยมีนกสี่เชวี่ย์ทอดเรียงตัวเชื่อมต่อเป็นสะพานให้นั่นเอง
ทั้งนี้ ความเชื่อของคนจีนในปัจจุบันที่ว่านกกาเป็นสัตว์อัปมงคลนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นทีหลัง เพราะแรกเริ่มเดิมทีเมื่อครั้งอดีต "กา" ถูกจัดว่าเป็นนกเทพชนิดหนึ่ง ตามตำนานจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ใจกลางดวงอาทิตย์นั้นมี "กาสามขา" อยู่ ดังนั้นผู้คนจึงถือเอากาสามขาเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ด้วย
นอกจากนี้คนจีนในสมัยโบราณยังเล่าขานถึงความกตัญญูของลูกกาที่เมื่อเติบใหญ่แล้วก็ยังห่วงหามาคอยเลี้ยงดูแม่กาผู้ให้กำเนิดด้วย และยังถือว่าอีกาเป็นสัตว์พิเศษที่สามารถแจ้งดีร้ายให้ได้รู้ล่วงหน้า ดังที่มีเอ่ยถึงในผลงานชื่อ นานาสาระพันโหย่วหยางจ๋าจู่ ของต้วนเฉิงซื่อ นักเขียนนิยาย นักแต่งกลอนชื่อดังที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์ถังว่า "การ้องไร้เสียงเพราะเสนาะหูแจ้งบอกเหตุ ก่อนเดินทาง การ้องก้องนำ ลางดีนักหนา แม้นอดีตไม่มีบันทึกบอกมา"
ต่อมาภายหลังผู้คนกลับตั้งแง่รังเกียจหาว่า อีกาเป็นตัวพาแต่ความอับโชค มีแต่บอกร้ายไม่แจ้งดี แม้ว่าต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง เหมยเหยาเฉิน นักแต่งกลอนชื่อดังได้กล่าวแก้แทนอีกาว่า เพราะความจงรักภักดีที่มันมีให้ ดังนั้น ไม่ว่าจะร้ายหรือดี มันก็นำมาแจ้งเตือนให้รู้ล่วงหน้า แต่กลับถูกผู้คนเข้าใจผิดคิดไปว่ามันแจ้งนำเพียงเหตุเภทร้ายเสียนี่
ด้วยเหตุนี้ สำนวน "ปากอีกา" จึงสืบเนื่องมาจากความเชื่อของผู้คนที่เชื่อกันว่า อีกานำมาซึ่งความโชคร้าย เปรียบถึงคนที่ชอบพูดแต่เรื่องไม่ดี เข้าทำนองเรื่องดีพูดไม่ขึ้น แต่พอเอ่ยเรื่องร้ายกลับกลายเป็นจริงเป็นจังเข้าเสียนี่ และเพราะอีกามักร้องดังไม่หยุด จึงนำใช้เปรียบถึงคนที่ชอบพูดมากเป็นที่รำคาญหูรำคาญใจของผู้อื่นอีกด้วย
ส่วนพ่อไก่ที่คอยโก่งคอขันปลุกให้ตื่นขึ้นรับอรุณรุ่งนั้น ก็ถือเป็นเพื่อนแสนดีของคนเรา แต่กลับมีสำนวนจีนที่ว่า "เถี่ยกงจี-ไก่เหล็ก" มาเหน็บพ่อไก่ให้แสบคันในทรวง เพราะใช้เปรียบถึง คนที่ขี้เหนียวขี้งกแบบสุดๆ แบบขนเส้นเดียวก็ไม่ปล่อยให้เด็ดดึงไปได้ง่ายๆ
ที่มาที่ไปของสำนวน "ไก่เหล็ก" นั้นมีอยู่ว่า ในยุคสมัยชุนชิวจั้นกั๋ว มีการผุดสำนักปราชญ์ขึ้นมาอย่างมากมาย ม่อจื๊อ นักปรัชญาคนสำคัญผู้บุกเบิกแนวคิดสำคัญที่ว่า รักแบบสากลไม่แบ่งแยก ไร้การโจมตีให้ร้ายต่อกัน ซึ่งขัดแย้งกับนักปรัชญาอีกท่าน คือ หยางจู ผู้ยึดมั่นหลักการเพื่อตน แห่งตนโดยไม่รุกล้ำผู้อื่น ซึ่งแนวคิดของม่อจื๊อและหยางจูต่างเป็นที่ยอมรับ เป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งและส่งผลกระทบต่อผู้คนในสมัยนั้นอย่างมาก
ส่วนเมิ่งจื๊อ นักปรัชญาศิษย์เอกคนสำคัญของขงจื๊อ กลับไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของหยางจูและเขียนบันทึกเหน็บแนมถึงในตำราไว้ว่า "หยางจื๊อเพื่อตน ถอนขนเพียงเส้นเป็นคุณต่อใต้หล้า คงไม่" หมายถึง หากถอนขนหนึ่งเส้นจากตัวหยางจู สามารถทำคุณประโยชน์ให้กับผู้คนทั้งหลายในใต้หล้านี้ได้ เขาก็คงไม่คิดทำ แค่ขนเส้นเดียวยังไม่ยอม จึงเป็นเหตุที่มาของสำนวนไก่เหล็ก ที่ใช้เปรียบเปรยจอมตระหนี่ทั้งหลาย เพราะความที่เป็นไก่เหล็กขนสักเส้นย่อมถอนไปไม่ได้ ซึ่งชาวจีนในปัจจุบันยังได้หยิบยกเอาผู้เฒ่ากร็องเด้ต์ จากเรื่อง "เออเฌนี กร็องเด้ต์" ผลงานของนักประพันธ์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส ออนอเร่ เดอ บัลซัค มาใช้เปรียบผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวแบบไม่เป็นสองรองใครได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับพี่หมูแม้จะมีสำนวนจีนอ้างอิงถึงว่าโง่เขลาเบาปัญญาบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ยังมีศิษย์พี่รองตือโป้ยก่าย ที่มีอดีตชาติเป็นถึงเทพเทียนเผิง ผู้พิทักษ์รักษาธารสวรรค์หรือทางช้างเผือก เป็นที่เชิดหน้าชูตาทำคะแนนทิ้งห่างจากผลการสำรวจที่ว่าใคร คือสุดยอดคนรักในดวงใจของหมวยจีน
ผลการสำรวจนั้นตีกรอบตัวเลือกไว้ที่ 4 ตัวละครเอกจากเรื่องไซอิ๋ว ได้แก่ พระถังซัมจั๋ง ซุนหงอคง ตือโป้ยก่าย และซัวเจ๋งเท่านั้น ซึ่งสาวจีนส่วนใหญ่คิดเป็นอัตราส่วน 70%ของกลุ่มผู้เข้าร่วมทำการสำรวจนั้น เทคะแนนใจให้กับตือโป้ยก่าย ที่หน้าตาออกจะอัปลักษณ์แถมติดขี้หลีกลับได้ตำแหน่งคว้าคะแนนใจเอาชนะไปอย่างขาดลอย
โดยให้เหตุผลว่า ที่โป้ยก่ายติดนิสัยเจ้าชู้หลีสาวไปทั่วอย่างที่เห็นกันนั้น เป็นเพราะในเรื่องไม่มีตัวละครหญิงคนใดยอมตกลงปลงใจด้วย ทำให้โป้ยก่ายยังคงฟรีและเสรีพอที่เห็นหญิงใดเป็นต้องมีใจและหมายมั่นที่จะเข้าไปทำความรู้จักด้วยเป็นธรรมดา ซึ่งพื้นฐานแท้จริงแล้วโป้ยก่ายนั้นจัดว่ามีนิสัยอ่อนโยนน่ารัก โอบอ้อมอารี รู้จักกินเล่นหาความสำราญย่อมเติมสีสันให้กับชีวิตคู่ได้แน่ และที่สำคัญคือรู้จักเอาอกเอาใจผู้หญิง ยึดมั่นในรัก ไม่ใช่มีใหม่ลืมเก่า มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว
ผิดกับศิษย์น้องสามซัวเจ๋งที่แม้จะซื่อสัตย์ซื่อตรงแต่ก็ออกจะทึ่มทื่อเกินไป ดีไม่เด่น ร้ายไม่ชัด ยิ่งทำให้ไม่เป็นที่เตะตาต้องใจสาวๆ จะเหมาะโดนใจก็อาจสำหรับสาวที่เคยผ่านชีวิตคู่มาแล้วไม่ว่าจะเป็นแบบประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ที่จะมองว่าหนุ่มอย่างนี้นี่แหละคือยอดสามีตัวอย่าง เพราะให้ความสำคัญกับครอบครัวอันดับหนึ่ง ไม่ทะเยอทะยานอยากเกินตัว มีชีวิตครอบครัวที่ราบรื่น คือ เป็นตัวเลือกที่แม้จะจืดชืดแต่ก็ปลอดภัยมั่นคงในชีวิตคู่แน่นอน
ส่วนศิษย์พี่ใหญ่หงอคงหรือเห้งเจียนั้น แม้จะมีความฉลาดหลักแหลม เก่งกล้าสามารถเป็นเลิศ ถือว่าเป็นฮีโร่ขวัญใจ เป็นที่เคารพชื่นชมของสาวๆ ได้ไม่ผิดเพี้ยนนั้น แต่เพราะความเด่นกล้าที่มากล้ำ ทำให้เกิดอารมณ์ร้อนมุทะลุเอาได้ง่ายๆ รวมถึงมองตัวเองเป็นสำคัญขาดความเอาใจใส่ทะนุถนอมผู้หญิง ซึ่งนิยามความรักหรือชีวิตครอบครัวคู่แต่งงาน คงไม่มีบันทึกอยู่ในพจนานุกรมของหงอคงเป็นแน่ แต่เพราะมีความรักในเพื่อนพ้องอย่างหนักแน่น จึงเห็นว่าถ้าได้มาเป็นเพื่อนเกลอของสามีก็เห็นจะดีเป็นที่สุด
และท้ายสุดสำหรับพระอาจารย์พระถังซัมจั๋ง สาวๆ มองว่าท่านให้ความสำคัญกับหน้าที่การงานเป็นสำคัญประดุจดังชีวิต และไม่เคยคิดคำนึงถึงหัวจิตหัวใจของหงอคงเลย เอะอะเป็นตะเพิดใส่ไล่กลับเขาฮวากั๋วซานท่าเดียว และเพราะท่านละแล้วซึ่งทางโลก ไม่มีความคิดในเรื่องครอบครัวแม้แต่น้อย คำหวานซึ้งอะไรอย่าหวังจะได้ยิน และหากครองคู่กันไปไม่วันใดก็อาจถูกบอกเลิกส่งกลับก็เป็นได้
และอีกหนึ่งคือน้องหมาเองก็โดนหางเลขไปด้วย ทั้งๆ ที่สุนัขถือเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์ช่วยปกปักรักษาดูแลบ้าน และมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง โดยสำนวนที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยๆ ที่ว่า "จีหมิงโก่วเต้า ไก่ขันหมาขโมย" นั้น เปรียบเทียบถึงพวกขาดทักษะ ไร้ความสามารถ หรือมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจต่ำช้า
โดยตำนานที่มาของเรื่องมีอยู่ว่า ในยุคสมัยจั้นกั๋วนั้นหนึ่งในสี่สุดยอดคุณชาย "เมิ่งฉางจวิน" มีความนิยมชมชอบเลี้ยงดูปูเสื่อพวกคนเก่งทั้งหลายมาก โดยมีลูกน้องอยู่ในสังกัดมากถึงสามพันกว่าคน โดยในจำนวนนี้ได้รวมเอาพวกมีความเก่งกล้าสามารถหลากหลายรูปแบบเอาไว้ จนเป็นที่เลื่องลือไปถึง จาวเซียงอ๋อง แห่งแคว้นฉิน ถึงกับขอเชิญตัวไปเข้าพบ ต่อเมื่อเมิ่งฉางจวินได้เดินทางไปเข้าพบแล้ว กลับมีคนเป่าหูว่า เมิ่งฉางจวินถึงอย่างไรก็เป็นคนแคว้นฉี ยากที่จะห้ามไม่ให้คิดการที่เป็นผลประโยชน์ต่อแคว้นฉี ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อแคว้นฉินของเราเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เมิ่งฉางจวินจึงถูกสั่งจับกุมตัว รอหาเหตุผลเหมาะพอที่จะสั่งประหารชีวิตลง
เมิ่งฉางจวินรู้เข้าก็ส่งคนออกไปวิงวอนพระสนมคนสำคัญอันเป็นที่โปรดปรานสุดของฉินอ๋อง ซึ่งพระสนมก็รับปากจะข่วยร้องขอชีวิตให้ แต่มีขอต่อรองว่าต้องมอบเสื้อโค้ตขนสุนัขจิ้งจอกขาวที่มีอยู่นั้นให้เป็นของตอบแทน เมิ่งฉางจวินรู้ความก็ต้องยกมือกุมขมับ เพราะสุดยอดเสื้อขนสัตว์ตัวงามนั้น ได้มอบให้เป็นของกำนัลแด่ฉินอ๋องไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มจึงหันไปปรึกษากับพวกลูกน้อง หนึ่งในนั้นยืดอกชูมือบอกเรื่องนี้จิ๊บจ๊อย เพราะตนมีความสามารถเลียนแบบสุนัข สามารถลอบเข้าไปลักเอาเสื้องามตัวนั้นออกมาให้ได้ พอตกกลางดึกก็ย่องเข้าไปขโมยเอามาได้สำเร็จ พระสนมจึงออดอ้อนวิงวอนฉินอ๋องและมีรับสั่งปล่อยตัวในที่สุด
แต่เมื่อเมิ่งฉางจวินเดินทางมาถึงด่านประตูเมือง ประตูกลับปิดลงเสียแล้ว เกิดปัญหาสร้างความร้อนใจให้ยิ่ง เพราะจะมัวรีรอถึงวันพรุ่ง ฉินอ๋องต้องเกิดเปลี่ยนใจส่งคนมาตามล่าลากตัวกลับไปเป็นแน่ ถึงคราวลูกน้องที่มีความสามารถเลียนเสียงไก่ขันยืดอกอาสาขอโชว์ฝีมือบ้าง พอทหารได้ยินการเลียนเสียงไก่ขันของเขาก็เชื่อสนิทใจนึกว่าเช้าแล้ว จึงยอมเปิดบานประตูปล่อยเมิ่งฉางจวินและพรรคพวกออกพ้นเขตเมืองไปได้สำเร็จ
ชาวจีนยังมีตำนานเล่าขานถึงสุนัขสวรรค์ว่า เป็นสัตว์เทพชนิดหนึ่ง ที่ส่วนหัวมีสีชาวบริสุทธิ์ หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขจิ้งจอก รูปร่างเฉกดั่งสุนัข แต่มีอิทธิฤทธิ์ความสามารถพิเศษ ซึ่งตำนานสุนัขสวรรค์นั้น เกิดจากคนโบราณขาดความรู้เรื่องดาราศาสตร์ ไม่เข้าใจว่าสุริยุปราคาและจันทรุปราคาเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ คิดไปว่าเกิดจากสุนัขสวรรค์กลืนกินเอาดวงจันทร์ดวงตะวันเข้าไป จึงทำการตีฆ้องร้องป่าว หวังให้ตกใจและคายคืนออกมา
โดยเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ภายหลังโฮ่วอี้ช่วยดับทุกข์ให้ประชาราษฎร์ด้วยการยิงพระอาทิตย์เก้าดวงตกลงมา เหลือไว้เพียงดวงเดียวได้สำเร็จแล้ว องค์เจ้าแม่หวังหมู่ก็ประทานรางวัลเป็นยาวิเศษและโสมเซียนให้ ฉางเอ๋อร์กลับนำโสมมาต้มเป็นน้ำแกงและกินยาวิเศษลอยสู่สวรรค์นั้นเพียงผู้เดียว สุนัขที่โฮ่วอี้เลี้ยงไว้หน้าประตูเห็นเข้าก็เข้ามาในห้องและเลียเอาน้ำแกงโสมเซียนที่เหลือ รีบลอยไล่ตามฉางเอ๋อร์ขึ้นไป ฉางเอ๋อร์ตกใจเห็นท่าไม่ดีจึงหลบเข้าหลังดวงจันทร์
สุนัขของโฮ่วอี้จึงอ้าปากอมจันทร์ทั้งดวงเข้าไว้ ทำให้สวรรค์มืดลงในฉับพลัน เจ้าแม่หวังหมู่รู้เข้าก็รีบรับสั่งทหารให้ออกจับตัวสุนัขของโฮ่วอี้ และให้คายดวงจันทร์ออกมา แต่ด้วยเห็นแก่ความจงรักของสุนัขที่มีต่อโฮ่วอี้ผู้เป็นนาย ทำให้เจ้าแม่หวังหมู่ไม่ทรงลงทัณฑ์ แถมยังประทานตำแหน่งสุนัขสวรรค์ให้ พร้อมทั้งมอบหมายให้ไปพิทักษ์รักษาการประตูสวรรค์ด้านใต้
(ภาพ)เทพจางเซียนไล่ยิงสุนัขสวรรค์ เพราะสุนัขสวรรค์ขัดขวางการลงมาจุติบนโลกมนุษย์ของเทพดารา(ดวงดาว) เมื่อสุนัขสวรรค์ถูกจางเซียนขับไล่ เทพดาราจึงสามารถลงมาจุติได้อย่างราบรื่น ทำให้ผู้คนบนโลกมนุษย์มีลูกได้ดั่งหวัง ดังนั้น คนจีนโบราณจึงยกย่องจางเซียนให้เป็นเทพแห่งการมอบบุตร
ดังนั้น ที่ร้ายสุดเห็นจะเป็นสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์นั่นเอง เพราะความคิดจิตใจคนช่างซับซ้อนวกวน ยากแท้หยั่งถึง เหมือนดั่งบทกลอนคำสอนของท่านสุนทรภู่ที่ว่า...
"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน "
เก่าเล่าไปใหม่บอกมา โดย วังฟ้า 羅勇府