ภาวะการณ์เช่นนี้ทำให้นักวิจัยของสภาสังคมศาสตร์จีนรู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง จึงออกมากล่าวว่า รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ให้มากขึ้น นอกจากมุ่งพัฒนาสุขภาพของประชาชนแล้ว การพัฒนางานด้านวัฒนธรรมก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย และหนังสือก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบันทึก ส่งต่อ และกระจายความรู้ ซึ่งร้านหนังสือเอกชนก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสมดุลทางวัฒนธรรม
ดังนั้นจึงควรระบุแผนการพัฒนาร้านหนังสือท้องถิ่นให้เข้าไว้ในแผนการพัฒนาเมืองด้วย พร้อมอนุรักษ์พื้นที่ของแหล่งจำหน่ายหนังสือ ให้นโยบายสนับสนุน รวมทั้งรื้อฟื้นร้านที่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมนี้ให้กลับมายืนอยู่ต่อได้อีก
ซึ่งทางการเมืองเซียะเหมินก็ได้ออกมาประกาศว่าจะตั้งทีมเพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และจะร่วมมือกับทางบริษัทร้านโอทูและร้านอื่นๆ ที่ถูกผลกระทบเพื่อร่วมกันลงทุนใหม่อีกครั้ง
งานนี้แม้ว่าผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือ "ผู้อ่าน" แต่ทุกอย่างก็ต้องมีระดับความสมดุลที่ดี จึงจะสามารถสร้างสังคมแห่งการอ่านแบบยั่งยืนขึ้นมาได้ ดังนั้นเมื่อมี "คนอ่าน" แล้วก็ต้องมี "ร้านหนังสือ" ที่ดีๆ ด้วย
และหากทางการต้องการช่วยเหลือให้ร้านหนังสือดีๆ อยู่รอดตลอดไปแล้วละก็ นอกจากส่งเสริมทุกอย่างแล้ว ยังต้องกวาดล้างร้านหนังสือปลอมให้หมดสิ้นไปด้วย แม้จะดูเหมือนว่าร้านขายหนังสือก๊อปปี้เหล่านี้จะไม่สร้างผลกระทบมากมายอะไรต่อระบบการจัดจำหน่ายหนังสือทั้งองคาพยพ แต่ก็เหมือนเนื้อร้ายที่พอกพูนสะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งเชื่อได้ว่าสักวันหนึ่งจะส่งผลให้เห็นถนัดถนี่มากขึ้น
สำหรับประเทศไทยสามารถสบายใจได้ในเรื่องหนังสือปลอม เพราะคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายในสังคมที่การอ่านยังอ่อนแออยู่มาก แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดขึ้นจริงๆ ก็ขอให้ดีใจกันถ้วนหน้า เพราะนั่นหมายความว่า "สังคมการอ่านของบ้านเรา" พัฒนาแล้ว
พัลลภ สามสี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------