เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเริ่มต้นด้วยข้าวแกงฝั่งคลองตรงกันข้ามกับที่พัก อาหารก็มีจำพวกผัด ทอด ตุ๋น มากมายหลายถาด ดูแล้วเหมือนข้าวราดแกงบ้านเราไม่มีผิด เพียงแต่ว่าที่ร้านี้จะชั่งทุกอย่าง คิดราตามน้ำหนัก และไม่มีจาน ไม่มีเก้าอี้ เพราะทุกคนล้วนมาซื้อใส่กล่องกลับบ้าน ผมต้องอ้อนวอนตั้งนานว่าขอนั่งที่หน้าร้านได้ไหม เพราะไม่มีบ้าน บอกป้าเจ้าร้านว่ามาเที่ยว สุดท้ายแกเลยเอาใส่กล่องโฟมมาให้พร้อมตะเกียบ เนื้อตุ๋น ผัดเต้าหู้ใส่หน่อไม้ ปลาทอดนึ่งซีอิ๊ว และข้าวสวยแยกกล่องกันมาเลยทีเดียว ทำให้รู้ว่าที่นี่เขาไม่นิยมกันกินแบบราดรวมกันหลายๆ อย่าง ใจแรกอยากจะสั่งเนื้อแพะด้วย เพราะรู้สึกว่าเหมือนจะเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เพราะเมื่อวานเห็นคนเข้าคิวซื้อกันยาวเหยียดเกือบทุกร้านที่ขาย แต่ความจุของท้องน้อยๆ ของผมมันฟ้องว่าไม่มีที่เก็บแน่นอน
สะพานโค้งหน้าที่พัก
วันนี้แดดยังคงซุกซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆ ความครึ้มทำให้อากาศเย็นลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย สีขาวดำของอาคาร และกิ่งไม้ที่เริ่มสลัดใบล่วงหล่น ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความทึมเทาและเศร้าหมอง สายน้ำสีเขียวเคลื่อนตัวเบาๆ พัดพาใบหลิวสีเหลืองค่อยๆ ลอยไปอย่างไร้จุดหมาย คุณยายสองคนนั่งอยู่ริมกำแพงเก่าซีด เงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงตาอันโรยราเขม้นมองราวกับกำลังร้องขอต่อเทพยดาให้ประทานแสงแดดอุ่นลงมาให้บ้าง หมาพุดเดิ้ลสีขาวที่ห่อตัวด้วยชุดเสื้อสีแดงนอนอยู่เคียงเท้าของยายทั้งสองดูเหมือนเป็นสิ่งเดียวบริเวณตีนสะพานหินแห่งนี้ที่ดูสีสันสดใสที่สุด แต่ทว่าตัวมันกลับไม่ร่างเริง เหลือบเพียงสายตามองมาทางผมตอนที่พยายามหาโฟกัสของกล้องเพื่อถ่ายรูปคนและสัตว์เลี้ยงในเช้าอันหม่นหมองนี้
เดินย้อนกลับมายังที่พัก เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ราวกับเพิ่งมีเหตุการณ์อะไรตื่นเต้นเพิ่งเกิดขึ้น ด้วยความอยากรู้ ผมก็ค่อยๆ เลียบๆ เคียงไปยืนฟังใกล้ ทำท่าเป็นถ่ายรูปร้านหนังสือที่อยู่ตรงกันข้าม เผื่อจะจับใจความจากภาษาจีนงูๆ ปลาๆ ของผมได้บ้าง
อ่านถึงตรงนี้ คุณไม่ต้องยิ้มเยาะเลย ก็คุณเก่งกว่าผมอยู่แล้ว ถ้ามาด้วยกันคุณเป็นต้องถูกผมถามทั้งวันแน่ๆ
สรุปยังไงรู้ไหมครับ พอร้านหนังสือที่พวกเขายืนออรอกันอยู่นั้นเปิดประตู ผมก็เข้าใจทันที ไม่ได้เข้าใจจากที่พูดนะครับ แต่เข้าใจว่าพวกเขารออะไรกันอยู่ เพราะหลังจากเห็นร้านเปิดพวกเขาก็กรูกันเข้าไปทันที และมีหรือที่ผมจะรอช้า รีบก้าวตามเข้าไปทันที
ร้านนี้มีชื่อว่า "โมมี" มีโลโก้เป็นแมวหน้าตาน่ารักตัวหนึ่ง ในร้านเต็มไปด้วยโปสการ์ดทั้งสองผนังห้อง ตามชั้นมีสมุดบันทึกหลากหลายรูปแบบ สินค้าทุกอย่างล้วนถูกทำขึ้นภายใต้โลโก้ของร้านนี้ ไม่รวมพวกของชำร่วย เครื่องชงกาแฟ พวงกุญแจเซรามิก ซึ่งน่าจะเป็นการรับมาขาย แต่เจ้าของร้านก็เลือกได้เข้ากับสไตล์ของร้านดีเป็นอย่างยิ่ง ดูแล้วน่ารักกุ๊กกิ๊ก ที่ร้านโมมีแห่งนี้จริงๆ แล้วคือคอฟฟี่ช้อป โปสการ์ด และหนังสือ มีมุมให้นั่งชิวกาแฟและชาสามแบบ คือมุมหน้าร้านที่นั่งรายรอบไปด้วยโปสการ์ด มุมกลางร้านที่เชื่อมกับด้านหลังร้าน ตรงนี้มุงหลังคาด้วยพลาสติดใสรับแสงจากธรรมชาติ จึงมีต้นไม้กระถางสีเขียวตั้งอยู่เต็มไปหมด สว่นมุมในสุดเป็นที่นั่งสำหรับกลุ่มเพื่อนๆ ที่มากันหลายคน และที่ชั้นสองเป็นโซนขายหนังสือทั้งประเภทวรรณกรรมและท่องเที่ยว ทั้งร้านบริการไวไฟ เล่นเน็ตได้อย่างสบายใจ บรรยากาศน่ารักๆ แบบนี้ทำให้ลูกค้าทั้งหมดล้วนเป็นวัยรุ่น
ส่วนที่ผมประทับใจมากที่สุดคือ เค้าท์เตอร์ชงกาแฟ เจ้าของร้านใช้วิธีเอาหนังสือมาวางเรียงซ้อนๆ กันในช่องที่เจาะไว้ ทำให้กลายเป็นกำแพงหนังสือ จากนั้นค่อยเอาป้ายชื่อร้านมาแปะไว้อีกที เป็นออกแบบของแต่งบ้านและร้านค้าที่น่ารักมาก
ทำให้ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวเลยต้องระงับไว้ เพราะร้านนี้ฉุดใจให้นั่งและสั่งกานมร้อนที่หอมกรุ่นไปแล้ว ไม่รู้ว่าโปสการ์ดเดินทางไปถึงมือของคุณหรือยัง ผมนั่งเขียนในบรรยากาศอันแสนโรแมนติกเช่นนี้ หวังว่าคุณคประทับใจ