เดินเลี้ยวขวามุ่งไปตามถนนไปนานก็พบกับกำแพงเมืองโบราณ เสียงที่ส่งเจี๊ยวจ๊าวลงมาแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาปิดทำการ จากแผนที่พอถึงกำแพงนี้ก็หมายความว่าผมได้เดินมาถึงจุดหมายสุดท้ายของวันนี้แล้ว เพราะเป็นจุดบรรจบของคลองห้าสาย และเป็นที่ตั้งของถนนโบราณชื่อดัง "ชาน ถัง เจีย"
บริเวณนี้นอกจากจะเป็นที่ตั้งของร้านอาหารแนะนำพิเศษมากมายที่ระบุไว้ในแผนที่แล้ว ยังมีถนนคนเดินที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้านานาชนิดซึ่งตั้งอยู่ในอาคารโบราณอายุนับหลายร้อยปี มีพิพิธภัณฑ์ ห้องแสดงงานศิลปะ ท่าล่องเรือชมคลอง มีสะพานหินโบราณที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของซูโจว
แต่ความเหนื่อยล้า และความตื่นเต้นที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน ทำให้ผมเลือกที่จะหาร้านนั่งพักเสียก่อน เมื่อตั้งสติและสมาธิได้แล้วค่อยลุยเดินต่อ
ร้านกาแฟริมน้ำจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เลือกได้โต๊ะริมหน้าต่าง ทั้งร้านมีเจ้าของร้านอยู่คนเดียวกับแมวหนึ่งตัวที่นอนขี้เซาอยู่ที่เก้าอี้โซฟาอันอบอุ่นเอียงคอฟังเพลงแจ๊ซเบาของโจแอนนา หวัง
ซูโจวหน้าหนาว เหงาไม่หยอกอยู่เหมือนกัน ถ้ามีคุณมานั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้าม มีคุณมาให้เดินจับมือ คงไม่อุ่นใจไม่น้อย
ร้านกาแฟแห่งนี้ไม่มีฮีตเตอร์ ยิ่งนั่งนานก็ยิ่งหนาว ยิ่งเงียบก็ยิ่งเหงา ผมจึงรีบดื่มให้หมด เพราะหากได้ออกไปเดินบนถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน เห็นคนแปลกหน้าเสียบ้างคงบรรเทากว่านั่งเหงาอยู่คนเดียว
ถนนชาน ถัง เจีย ปูด้วยแผ่นหินโบราณทอดยาวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ในวันธรรดาเช่นนี้ก็ไม่ว่างเว้นผู้คนนัก มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี หลังจากเงี่ยหูฟังเสียงคนพูดคุยกันมาระยะหนึ่งก็สรุปได้ว่า ผมน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวที่พลัดหลงมา
แม้ที่นี่จะมีร้านขายของที่ระลึกจำนวนมากที่ดูเก๋ไก๋และล่อใจ แต่ผมก็คงไม่สามารถซื้ออะไรได้มากไปกว่านี้ เพราะกระเป๋าเป้แทบไม่มีพื้นที่ว่างแล้ว จึงเลือกได้แต่โปสการ์ดไม่กี่ใบ และภาพกระดาษตัดรูปเทพเจ้าประจำท้องถิ่นอันหนึ่งเป็นรูปป้าอ้วนคนหนึ่งที่ชาวซูโจวเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์
ผมไปติดใจเสื้อยืดหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง แต่เลือกดูแล้วมีเพียงแค่สีชมพู แถมยังไซด์แอล ซึ่งผมใส่ไม่ได้ ไม่งั้นคงได้สอบมาให้กระเป๋าแน่นขึ้นอีก
ผมเดินเข้าร้านั้นออกร้านนี้ สัลบกันไปมา เพราะล้วนแต่แต่ของท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์พิเศษ โดยเฉพาะร้านสหายเก่าที่ขายของหลงมาจากยุคประธานเหมา ทั้งโปสเตอร์ สมุดบันทึก เข็มกลัด รูปปั้นเซรามิก หนังสือการเมือง หนังสือพิมพ์โบราณ ฯลฯ ผมพยายามถามราคาของงบางชิ้น แต่ก็ต้องรีบวาง เพราะเจ้าของร้านบอกราคาไว้สูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่า ซึ่งที่ตลาดของเก่าย่านปาเป่าชานข้างบ้านผมที่ปักกิ่งยังถูกกว่าหลายเท่า
ชาน ถัง เจีย ไม่มีอะไรมากกว่าไปกว่าถนนโบราณที่เต็มไปด้วยร้านค้า สำหรับนักช้อปและนักชิมขนมชนิดต่างๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด
หน้าทางเข้าถนนชาน ถาง เจีย
พูดถึงเรื่องกิน เย็นนี้ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องชิมปูขน ปูน้ำจืดที่มีชื่อเสียงของเจียงซู และย่านหน้าทางเข้าชาน ถัง เจีย ก็มีร้านมากมายให้เลือก ปูขนาดเล็กกว่ากำปั้นนิดหน่อยขายเพียงตัวละ 10 หยวนเท่านั้น ซื้อแล้วสามารถเลือกได้ว่าจะให้พ่อครัวปรุงออกมาแบบไหน ทั้งต้มและผัด แบบเผ็ด เค็ม หวาน เลือกได้ทั้งนั้น หน้าตาของเจ้าปูขนเหมือนปูทะเลทุกอย่าง และใหญ่กว่าปูน้ำจืดที่เมืองไทยเรา เพียงแค่กระดองจะสีออกแดงเข้มมากกว่า และที่สำคัญที่กล้ามือขวาขนาดยักษ์ของมันมีเยื้อขนๆ สีดำพันไว้โดยรอบราวกับใส่นวมไว้ ที่ร้านนี้ขายถูกเพราะน่าจะเป็นปูตกไซด์ เพราะปกติแล้วตามภัตตาคารหรูๆ ปูขนตัวหนึ่งราคาหบายร้อยหยวนทีเดียว และที่ตัวใหญ่เนื้อจะแน่นมาก ทั้งมันและไข่เต็มกระดองไปหมด แต่แถวนี้มีแต่นักท่องเที่ยวระดับกลางจึงมีแต่แบบตัวละ 10 หยวนขายเท่านั้น
หลังล้างมือด้วยน้ำอันเย็นเฉียบแล้ว ผมก็พร้อมลาถนนสายโบราณเพื่อกลับที่พักเสียที ตอนนี้หนังตาหย่อนยานลงมาแทบจะปิดสนิทกัน เนื้อตัวและเท้าเย็นเยียบเพราะในร้านไม่มีเครื่องทำความอุ่น นั่งนานๆ แล้วมันหนาวเข้ากระดูก พอออกมายืนที่หน้าร้านกลับรู้สึกไม่หนาวเท่าข้างใน รถราที่ขับผ่านไปมาเปิดไฟหน้ากันหมดแล้ว เสาไฟและประตูทางเข้าถนนโบราณก็ตามไฟสว่างไสวสวยงามแล้วทั้งหมด สามล้อถีบคันหนึ่งรีบรี่เข้ามาถามจุดหมายปลายทางทันที ใจแรกก็อยากกระจายรายได้ให้ท้องถิ่น โดยเฉพาะกับผู้ใช้แรงงานหนักเช่นนี้ แต่อีกใจก็กลัวจะเสียปณิธานทัวร์เดินเท้าของตัวเอง เมื่อคลำพุงตัวเองแล้วในที่สุดก็ปฏิเสธพี่สามล้อ เพราะน่าจะค่อยๆ เดินย่อยกลับที่พักน่าจะดีที่สุด