สำหรับชาวต่างชาติคงแปลกใจเมื่อได้ดูโทรทัศน์จีน แล้วพบว่านักแข่งรถหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งทำไมถึงได้มาเป็นพีเซนเตอร์โฆษณาเนสกาแฟได้ เพราะสินค้ายอดจำหน่ายสูงเช่นนี้ ปกติแล้วจะต้องจ้างระดับซุปเปอร์สตาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ใช้ความคิด เพราะว่านักโฆษณาส่วนใหญ่มักตีโจทย์กาแฟว่าต้องคู่กันกับคนที่ชอบครุ่นคิด เป็นนักบริหาร นักการเมือง นักวางแผน ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ชาวจีน รู้ว่าสินค้าชิ้นนี้เลือกคนได้ถูกต้อง เพราะชายหนุ่มร่างผอมๆ วัย 29 ปี คนนี้คือ "หัน หัน" นักเขียนหนุ่มที่มีแฟนนักอ่านคอยติดตามผลงานมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองจีน และเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุด 1 ใน 100 จากการจัดอันดับโดยนิตยสารไทม์ ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2010
ด้วยความหนุ่มและมีแฟนจำนวนมากเช่นนี้ เขาจึงมีทั้งคนรักและคนเกลียดพอๆ กัน คนที่รักเขาส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เกิดหลังปี 1980 ส่วนคนที่ไม่ชอบและคลางแคลงใจกับอัจฉริยภาพด้านการเขียนที่เฉียบคมเกินวัยนี้ ก็มักเป็นคนรุ่นเก่าที่ถูกเด็กอย่าง "หัน หัน" ถกเถียงและต่อว่าในบทความของเขาเสมอ
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีข้อถกเถียงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในสังคมนักอ่านจีนและผู้ใช้เวยโป๋ทั้งหลาย เมื่อบล็อกเกอร์ชื่อดังนามว่า "ม่าย เทียน" กล่าวหาว่าผลงานของ "หัน หัน" ถูกเขียนขึ้นโดยเจ้าของสำนักพิมพ์ และทีมงานอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากข้อความออนไลน์ได้ไม่นาน ก็มีทั้งคนออกมาด่าและเห็นด้วยจำนวนมาก อีกทั้งคนที่มีชื่อเสียงในแวดวงก็กระโดดเข้าร่วมประเด็นนี้ด้วยอย่างเผ็ดร้อน คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาลุกลามไปจน "หัน หัน" ทนไม่ไหว ต้องออกมาปกป้องเกียรติยศในฐานะนักเขียนของตนเอง และยังบอกว่า "ถ้าใครสามารถพิสูจน์ได้ว่างานเขียนของเขามีนักเขียนผี(Ghostwriters) อยู่เบื้องหลังจะจ่ายเงินสดๆ ให้ทันที 20 ล้านหยวน"
เช่นนี้แล้ว "ม่าย เทียน" ก็มาทบทวน และคิดว่าตัวเองจนในข้อพิสูจน์ จึงลบข้อความในบล็อกออกไป เมื่อวันที่ 18 มกราคม และกล่าวขออภัยจากคำกล่าวที่ไร้หลักฐานสนับสนุนของตน
เรื่องทำท่าเหมือนจะจบด้วยดี จนเมื่อ "ฟาง โจวจึ" นักเขียนใหญ่ที่มีชื่อเสียงอีกคนเข้ามาเอาพายตีน้ำให้กระเพื่อมอีกครั้งในบล็อกส่วนตัวว่า "ต้องการให้คนมาพิสูจน์หาความจริงและให้รางวัล แต่กลับไปลบงานเขียนที่เคยโพสต์ไว้เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2006 ถึง กันยายน 2007 ออก อย่างนี้ก็เท่ากับเป็นการทำลายหลักฐานและเป็นการกระทำที่ขาดความจริงใจอย่างแรง"
นอกจากนี้ยังเสริมอีกว่า "หัน หัน" อายุน้อยเกินไปที่จะสามารถเขียนงานที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ โดยเฉพาะชิ้นที่ชนะการประกวดระดับชาติเมื่อปี 1999 และสงสัยว่า "หัน เหรินจุน" ผู้เป็นพ่อน่าสงสัยที่สุดว่าเขียนแทนลูกชาย เพราะตัวเขาเองเป็นนักเขียนอยู่แล้ว
เมื่อถูกกล่าวหารุนแรงยิ่งขึ้นเช่นนี้ "หัน หัน" ก็ออกมาตอบโต้ทันทีว่า สาเหตุที่ลบผลงานในบล็อกออกไป เพราะว่าสำนักพิมพ์เป็นคนสั่ง และเพื่อเป็นการคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงานของตนเอง ส่วนเรื่องพ่อเขียแทนนั้น เขาบอกว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะลักษณะหรือสไตล์การเขียนของทั้งคู่ไม่เหมือนกันเลย และพูดว่า "ข้อกล่าวหาของเขามุ่งร้ายอย่างรุนแรง ทั้งยังเป็นการชี้นิ้วกราดไปยังเพื่อนๆ และสื่อมวลชนต่างๆด้วยที่ออกมาติติงข้อกล่าวหาของเขาก่อนหน้านี้"
แน่นอนว่า "ฟาง โจวจึ" ก็โต้กลับทันทีว่า "ข้อกล่าวหาทั้งหมดที่เสนอนั้น ว่าไปตามหลักการวิเคราะห์จากผลงานในช่วงต้นที่อาจจะเขียนโดยตัวเขาเองหรือพ่อของเขาก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของอิสรภาพในการพูด และเสรีในการโต้แย้งทางวิชาการ เขามีสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกับผม แต่ไม่ได้หมายความว่านี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี" และยังแจงต่อว่า "ตอนแรกผมเองก็ไม่ได้สนใจจะอ่านงานของ "หัน หัน" เลย เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่ดาราในวงการบันเทิงที่โด่งดังเพียงชั่ววูบ หรืองานของ "ม่าย เทียน" เอง ผมก็คงไม่มีความอดทนพอที่จะอ่าน แต่พอเห็นข้อความที่แสนหยิ่งทรนงเรื่องการให้รางวัลคนที่สามารถจับผิดได้ ก็เลยเข้ามาอ่านดู ด้วยอยากรู้ว่าคนหนุ่มที่เกี้ยวกราดเจ้าอารมณ์คนนี้กำลังทำอะไรกันแน่ และพบว่าข้อกล่าวหาของ "ม่าย เทียน" ก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนักอยู่พอควร เช่นที่ "หัน หัน" บอกว่า เขาเขียนบทความกว่า 12 ชิ้น และเรื่องแต่งอีกหนึ่งเรื่องภายในเดือนเดียว ช่วงที่เขาเรียนมัธยมต้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจับงานเขียนมาก่อน จนกระทั่งมาเขียนอีกทีตอนมัธยมปลายและสามารถชนะการประกวดบทความทั่วประเทศได้ทันที ซึ่งพิจารณาดูแล้วน่าสงสัยอย่างยิ่ง ว่าเด็กในวัยเท่านี้จะสามารถเขียนงานที่มีคุณภาพดีขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งประสบการณ์ชีวิตและพื้นฐานทางความคิดในบทความก็ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับวัยของเขาเลย"
"หัน หัน" ครวญว่า การถูกกล่าวหามีคนอื่นมาเขียนงานให้ เป็นเรื่องที่รุนแรงที่สุดสำหรับนักเขียนอาชีพ เพราะนี่เป็นการตั้งคำถามถึงความซื่อสัตย์ และระดับคุณธรรมในจิตใจ ซึ่ง "หัน หัน" บอกต่อว่าเขาพร้อมพิสูจน์โดยให้ดูต้นฉบับลายมือของผลงานในช่วงแรกที่เก็บไว้กว่า 1,000 แผ่น เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง และใส่คืนไปว่า ใครก็ตามที่มีอาชีพเป็นนักเขียนโดยสุจริตคงจะต้องวุ่นวายกันอีกต่อไป ถ้าไปแหย่ "ฟาง โจวจึ" เข้าให้
ด้านสำนักพิมพ์ก็ประกาศว่าจะยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อปกป้องนักเขียนของตน ซึ่งคิดว่าศาลจะรับฟ้องเรื่องนี้แน่นอน เพื่อเป็นคดีตัวอย่างให้คนที่อ้างการอภิปรายทางวิชาการมาทำร้ายเกียรติยศชื่อเสียงของคนอื่น
แต่ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายให้รายละเอียดว่าคงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะในศาลอาญา แต่ในศาลแพ่งดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในการปกป้องสิทธิของตน และเมื่อพิสูจน์แล้วว่า ผลงานของ "หัน หัน" เกิดจากอิจฉริยภาพอันบริสุทธิ์จริง การกระทำของ "ฟาง โจวจึ" ก็อาจจะสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการทำร้ายเกียรติภูมิของนักเขียนอาชีพคนหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไป เพราะคงไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอยกันง่าย "ฟาง โจวจึ" เมื่อกระโดดขึ้นเวทีแล้วก็ลงยาก เพราะมีความเป็นนักเขียนนักจิจารณ์ค้ำคอตัวเองอยู่ ขณะที่ "หัน หัน" ก็ต้องปกป้องความชอบธรรมของตนเองต่อไป ต่างคนต่างยืนอยู่บนจุดต่างของตน เหมือนมวยคู่เอกที่ยืนซดกันอยู่กลางเวที ผลพลอยได้จากเรื่องนี้ก็คือ แฟนานุแฟนของทั้งสองคนที่คอยลุ้นสนุกไปด้วย และเกิดความประเทืองปัญญามากขึ้นจากข้อโต้งแย้งของทั้งคู่
ซึ่งชี้ให้เห็นความเปิดกว้างของสังคมแห่งวิจารณ์ในเมืองจีน
พัลลภ สามสี