หลังจากปี 2003 ที่สหรัฐฯ ก่อสงครามอิรักขึ้นแล้ว กลุ่มอัลกออิดะห์ร่วมมือกับกองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลของอิรัก เพื่อต่อต้านสู้รบกับทหารสหรัฐฯ จึงนับวันมีกำลังเข้มแข็งยิ่งขึ้น จนถึงปี 2007 สหรัฐฯ เพิ่มกำลังโจมตีกลุ่มก่อการร้าย เพื่อสิ้นสุดสงครามอิรักโดยเร็ว และถอนออกจากอิรักอย่างมีหน้ามีตา โดยทำให้กำลังรบของกลุ่มอัลกออิดะห์อ่อนลงบ้าง
ปลายปี 2011 สหรัฐฯ สิ้นสุดสงครามอิรักอย่างรีบเร่ง ทางกรุงวอชิงตันกล่าว่า "ประวัติศาสตร์จะมีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจส่งทหารสหรัฐฯไปยังอิรักของเรา ปัจจุบัน เราช่วยให้อิรักมีความสามารถในการปกครองด้วยตนเองแล้ว" แต่สภาพความจริงที่เลวร้ายในปัจจุบันของอิรัก ได้ทำลายคำโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวจนหมสิ้น
การที่อิทธิพลของกลุ่มอัลกออิดะห์ฟื้นคืนมาอีกครั้ง มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามอิรักที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2003 เหตุการณต่างๆ เช่น ผู้เสียชีวิตในสงครามจำนวนมากมาย บ้านเกิดเมืองนอนถูกทำลาย ตลอดจนนิกายทางศาสนาต่างๆ เป็นปรปักษ์กันหนักยิ่งขึ้น ล้วนเป็นกำลังผลักดันการเผยแพร่ลัทธิหัวรุนแรง ตั้งแต่สถานการณ์เอเชียตะวันตกและแอฟริกาเหนือผันผวนเป็นต้นมา กลุ่มอัลกออิดะห์ก็ถือโอกาสนี้ ฟื้นกำลังในเยเมนและบางส่วนของแอฟริกาเหนืออย่างรวดเร็ว และแทรกซึมเข้าสู่ิอรักและซีเรียอย่างต่อเนื่อง ส่วนวิกฤตซีเรียก็ทำให้กลุ่มอัลกออิดะห์เห็นถึงโอกาสใหม่ เพราะอัลกออิดะห์มิเพียงแต่ต่อต้านสหรัฐฯ แต่ยังมุ่งที่จะโค่นอำนาจรัฐของประเทศอาหรับบางประเทศ และสร้างอำนาจรัฐแบบอนุรักษ์นิยมอย่างเข้มงวด
หลายปีก่อน สหรัฐฯ ก่อสงครามอิรักขึ้นโดยไม่นำพาการคัดค้านของประชาคมโลก เพื่อสร้างตัวอย่างประเทศประชาธิปไตยที่เข้าข้างสหรัฐฯ เพื่อมีส่วนช่วยในการผลักดันแผนปรับปรุงระบอบประชาธิปไตยในภูมิภาคตะวันออกกลางของสหรัฐฯ แต่จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลอิรักยังมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ไม่เพียงพอ กลุ่มก่อการร้ายกลายเป็นอันตรายที่แฝงไว้ใหญ่ที่สุด การก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องในอิรักเป็นการเตือนผู้คนว่า การก่อสงครามเพื่อผลักดันแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกระบวนการต่อต้านการก่อการร้ายและสถานการณ์ความมั่นคงของทั่วโลกเป็นเวลานาน
(In/Lin)