เสื้อผ้า กระเป๋า เหล้า นาฬิกา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสำอางค์ น้ำหอม รองเท้า ฯลฯ เป็นสินค้าแบรนด์เนมที่ราคาขายในจีนกับต่างประเทศต่างกันมาก โดยเฉพาะห้าหมวดแรก ยกตัวอย่าง นาฬิกาแบรนด์ดังจากนอก รุ่นเดียวกัน ราคาขายในจีน 6,600 หยวน แต่ราคาขายที่ฮ่องกงเท่ากับ 5,450 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 4,390 หยวน) ส่วนที่ยุโรปเท่ากับ 490 ยูโร (ราว 3,954หยวน) หรือก็คือ 60-70% ของราคาขายในจีนเท่านั้น
กาแฟสตาร์บัคในสหรัฐฯ ราคาขายเพียงแค่ประมาณ 12 หยวน
แต่ในจีนขายแก้วละ 21 หยวน แพงกว่าถึง 75%
สำหรับหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่วางขายในจีนความต่างของราคามีมากยิ่งกว่านี้ ตัวอย่าง โน๊ตบุ๊คแอปเปิล ขนาด 15 นิ้ว ผลิตในประเทศจีน ราคาขายที่เว็บไซต์ทางการของสหรัฐฯ เท่ากับ 2,199 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13,735 หยวน) แต่ราคาขายในเว็บไซต์ทางการของจีนเท่ากับ 16,488 หยวน แพงกว่าที่ขายในสหรัฐฯ เกือบ 3,000 หยวน และเพราะความแตกต่างกันมากของราคา ทำให้ผู้บริโภคจีนเกิดอาการ "ไหล"
จากรายงานของธนาคารเอชเอสบีซี HSBC ฉบับหนึ่งระบุว่า ในปี 2011 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมในต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าเกือบ 3 แสนล้านหยวนเลยทีเดียว
รองเท้ากีฬาไนกี้ รุ่นปัญหา "สองมาตรฐาน" ราคาแพงกว่ากัน 500 หยวน
คุณสมบัติยังถูกลดทอนเหลือแค่แผ่นรองรับแรงกระแทกแผ่นเดียว
นอกจากความแพงกว่า ผู้บริโภคจีนยังเผชิญกับ "สองมาตรฐาน" ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้กับผลิตภัณฑ์รองเท้าบาส ยี่ห้อไนกี้ ที่ราคาขายในจีนสูงถึง 1,299 หยวน แต่ที่เว็บไซต์ทางการของสหรัฐฯ เท่ากับ 125 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 800 หยวน ที่น่าเจ็บช้ำน้ำใจคือ ราคานอกจากจะแพงกว่ากัน 500 หยวนแล้ว สินค้าที่ได้รับกลับลดด้อยกว่า จากที่ขายในต่างประเทศเป็นแบบแผ่นอากาศรองรับแรงกระแทก 2 ชิ้น วางขายในจีนกลับเหลือแค่ชิ้นเดียว เข้าข่ายเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างนี้ ทางกรมบริหารอุตสาหกรรมและการค้ากรุงปักกิ่ง จึงประเดิมออกใบสั่งปรับใบแรก จัดการกับการขายของ "สองมาตรฐาน" ของไนกี้ โดยคิดค่าปรับเป็นมูลค่า 4.87 ล้านหยวน
เก่าเล่าไปใหม่บอกมา โดย วังฟ้า 羅勇府