ส่วนหนึ่งย้ายออกไปอยู่ที่ "เฉาฉางตี้" ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวนาไม่ไกลจาก 798 มากนัก อีกส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่เขตทงโจวทางตะวันออกสุดของปักกิ่ง ซึ่งกำลังพัฒนาของตัวเมืองยังคืบคลานไปไม่ถึงเท่าใดนัก และบางคนก็ย้ายออกไปอยู่มณฑลเหอเป่ย ซึ่งเลยปักกิ่งไปไม่ไกล
ทั้งนี้ก็เพราะต้องการประหยัดค่าเช่าที่แพงหูดับ
ขณะอู๋ ยู่เหรินกับเพื่อนพ้องอีกราว 10 คนยังตัดสินใจที่จะยืนหยัดอยู่ที่ 798 ต่อไป เพราะสัญญาเช่าที่ของพวกเขายังเหลือกันอีกคนละ 2-3 ปี ซึ่งยังพอมีเวลาที่จะคิดวางแผนขยับเขยื้อนอีกนาน
แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อนายหน้าบริหารพื้นที่เช่าของ 798 เกิดเปลี่ยนมือ พื้นที่เช่าอาศัยของเขาและเพื่อนก็ดันอยู่บนแผนการก่อสร้างคอนโดและห้างขนาดใหญ่ และส่งคนมาเจรจาให้พวกเขาย้ายออกไปก่อนกำหนด แต่ราคาค่าชดเชยที่เสนอมานั้นไม่พอเพียงให้สมยอมโยกย้ายออกไปได้ เพราะบางคนเพิ่งเสร็จสิ้นการต่อเติมและตกแต่งที่อยู่อาศัยและสตูดิโอของพวกเขาไปหมาดๆ จึงยืนยันที่จะอยู่ต่อจนครบสัญญา
สิ่งนี้สร้างไม่พอใจให้กับนายหน้าเลือดอย่างมาก แล้วแผนการโหดเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านต่างจังหวัดของจีนเหมือนที่เราๆ ได้ยินและได้เห็นภาพข่าวอยู่เรื่อยๆ ก็เกิดขึ้นกับเหล่าศิลปินผู้บุกเบิกพื้นที่ศิลปะแห่งนี้ขึ้นมา
นั่นก็คือมีการส่งนักเลงเข้ามาข่มขู่ ทุบทำลายข้าวของ รวมถึงทำร้ายร่างกายด้วย เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวและตัดสินใจย้ายออกไปในที่สุด
แต่ลูกไม้เช่นนี้ไม่ได้ทำให้เหล่าศิลปินปีนหลังคาออกไปเอาน้ำมันราดตัวเองแล้วจุดไฟเผาประท้วงเหมือนชาวบ้านร้านตลาด เพราะพวกเขาได้เข้าไปแจ้งความกับตำรวจ และนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงเล็กๆ ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปเมื่อต้นปี 2010
ชนวนเหตุเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2009 เมื่อ "อู๋ ยู่เหริน" อาสาไปสถานีตำรวจกับเพื่อนศิลปินที่เดือดร้อนจากกลุ่มนักเลงที่รับจ้างมาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเข้ามาบริหารพื้นที่ของศูนย์ศิลปะ 798
นอกจากการข่มขู่ด้วยกำลังแล้ว กลุ่มอันธพาลนี้ยังถอดเอาเครื่องชาร์ตไฟฟ้าที่หน้าบ้านไปด้วย ทำให้ศิลปินผู้เช่าอาศัยเดือดร้อน เมื่อไปแจ้งที่สถานีตำรวจย่อยใน 798 แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ พวกเขาจึงพ่นสเปรย์ใส่กำแพงเป็นข้อความว่า "ฝ่ายบริหารพื้นที่ 798 ทำการอุกอาจอย่างน่าละอาย" แล้วตัดสินใจไปแจ้งความที่สถานีตำรวจประจำเขตนั้น และบังเอิญอู๋ ยู่เหรินผ่านทางมา เลยทิ้งรถสกูตเตอร์อาสาตามไปด้วย
แต่พอไปถึง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะรับแจ้งความ พวกเขากลับถูกเชิญเข้าไปในห้องสอบสวน อู๋ ยู่เหรินเห็นว่าบรรยากาศไม่ดี เลยพยายามที่จะโทรศัพท์ให้เพื่อนคนอื่นมาช่วย แต่เจ้าหน้าที่กลับยื้อแย่งโทรศัพท์ไป ทั้งยังดึงเสื้อยืดขึ้นคลุมหัวเขาและลงมือทำร้าย ก่อนที่เขากับเพื่อนจะถูกจับแยกขัง ซึ่งหยาง ลี่ไค เจ้าของบ้านที่ถูกถอดเครื่องชาร์ตไฟฟ้าถูกปล่อยตัวหลังจากนั้นราว 10 วัน ส่วน "อู๋" ถูกคุมขังไว้เกือบครึ่งเดือน แม้ว่าภรรยาชาวแคนาดาของเขาพยายามร้องเรียนและช่วยเหลือหลายทางด้วยกันแล้วก็ตามที
เมื่อหลุดออกมา พวกเขาปรึกษากันแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบธรรม ทั้งการไล่ที่ก่อนหมดสัญญา การถูกกลุ่มอันธพาลกรรโชก และรวมทั้งถูกเจ้าหน้าที่ซ้อมโดยไร้มูลเหตุ สิ่งเดียวที่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ คือ การออกไปประท้วง ซึ่งเป็นงานที่ศิลปินแนวเพอร์ฟอร์มแมนซ์ถนัดกันอยู่แล้ว
แม้เรื่องนี้จะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ศิลปินและคนที่เห็นเหตุการณ์ แต่สื่อภายในประเทศก็ไม่มีการถ่ายทอดเรื่องนี้แต่อย่างใด นอกจากสื่อในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และอังกฤษ ซึ่งภายหลังจากนั้นทางบริษัทจัดการพื้นที่ใน 798 ก็ยอมที่จะเข้ามาเจรจาในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดกับเหล่าศิลปินประมาณ 12 คน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นอย่างจริงจัง โดยมี "อู๋ ยู่เหริน" เป็นตัวแทน พร้อมเจ้าหน้าที่เขตเฉาหยางของกรุงปักกิ่ง และเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเป็นสักขีพยาน ซึ่งทางบริษัทตกลงจ่ายเป็นเงินก้อนโตประมาณ 6 ล้านกว่าหยวนให้ศิลปินไปแบ่งกันเอาเองตามขนาดความเสียหาย และสัญญาเช่าที่คงเหลือไม่เท่ากัน
นับเป็นความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะโดยปกติแล้วชาวบ้านทั่วๆ ไป ไม่มีทางที่จะเจรจากับนายทุนและเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ฮั้วเรื่องนี้กันอย่างเอิกเกริกในจีนได้เท่าไรนัก อย่างที่เป็นมีข่าวคนเผาตัวเองประท้วงการรื้อไล่ที่อยู่เป็นประจำ
นี่คงเพราะพวกเขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่ารัฐเห็นใจที่กลุ่มศิลปินผู้บุกเบิกให้โรงงานร้างห่างไกลกลายเป็นหน้าเป็นตาของประเทศในด้านศิลปวัฒนธรรมระดับโลกที่ต้องเสียผลประโยชน์ส่วนตัว
และปัจจุบันนี้อู๋ ยู่เหริน ได้ย้ายออกมาอยู่ในสตูดิโอแห่งใหม่ไม่ไกลจาก 798 นัก โดยเช่าที่ดินของอู่รถไฟอยู่ แม้จะไม่ได้อยู่ในทำเลทองของงานศิลปะ แต่ก็ถือว่าได้ชีวิตที่อิสระและพื้นที่ทำงานศิลปะกลับคืนมาในราคาที่ศิลปินซึ่งปีหนึ่งๆ ทำงานไม่กี่ชิ้นให้พอมีชีวิตรอดและมีพลังสร้างสรรค์งานต่อไป อีกทั้งไม่ต้องไปพะวงกับราคาค่าเช่าพื้นที่ที่กำหนดโดยกลุ่มนายทุนซึ่งเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากความสำเร็จของ 798 ที่เหล่าศิลปินร่วมกันปลุกปั้นขึ้นมา
ส่วนศิลปินคนอื่นๆ ซึ่งได้เค่าชดเชยแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปเช่นกัน และโล่งอกไปตามๆ กันที่ไม่ต้องเอาชีวิตมาแขวนไว้กับผลประโยชน์ของนายทุนที่ไม่เคยให้ค่ากับงานศิลปะและศิลปิน นอกจากตัวเลขที่หมุนเวียนมหาศาลอยู่ในบัญชีธนาคาร
แต่ก็ใช่ว่าศิลปินทุกคนจะย้ายออกไปหมด เพราะยังมีบางส่วนที่จับทิศทางการเติบโตถูกต้อง ยอมจ่ายค่าเช่ที่เพิ่มขึ้น เพื่อแลกกับการดำรงอยู่ของสตูดิโอและแกลเลอรีบนทำเลทองแห่งนี้ ซึ่งนับวันเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานศิลปะที่พวกเขาสร้างขึ้นมายิ่งขึ้น
ดังนั้นเมื่อใครที่ได้มีโอกาสมาเยือน 798 ก็จะสามารถเห็นถึงความมีชีวิตชีวาที่ยังคงอยู่ เพราะยังมีแกลเลอรี่หนาตา รวมถึงร้านรวงที่ตกแต่งสวยงามผุดขึ้นใหม่ๆ ทุกวัน จนเป็นที่ดึงดูดสายตาจากทั่วโลก
โดยเฉพาะงานเทศกาลสำคัญๆ ต่างๆ พากันมาเปิดขึ้นที่นี่ตลอดทั้งปี ยิ่งเมื่อโรงานด้านหลังที่ชื่อว่า 751 เปิดให้คนเข้ามาเช่าโดยตั้งชื่อว่า DPARK ก็ยิ่งมีศิลปะในแขนงดีไซน์หรืออกแบบมาจัดกิจกรรมมากขึ้น อย่างปีนี้ก็มีงานเปิดตัวรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์ งานเดินแบบนานาชาติ งานเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับ 798 นั้น ล่าสุดมีการเปิด "เทศกาลภาพยนต์แห่งสหภาพยุโรป ครั้งที่ 5" ขึ้น ซึ่งเป็นงานประจำปีที่จัดมาโดยตลอด แต่ทว่างานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นที่ผ่านมา ด้วยเพราะเกิดอุปสรรคเรื่องค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งบริษัทเป่ยจิง เซเว่น สตาร์ อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ผู้ดูแลพื้นที่ในปัจจุบันได้ขึ้นราคาค่าเช่าพื้นที่ชั่วคราวในการจัดงานสูงกว่าเดิมถึง 2.5 เท่า
เรื่องนี้ "สวู หยง" ช่างภาพชื่อดังผู้นิยมถ่ายภาพหูท่งและผู้บริหารของ 798 แกลเลอรีในฐานะผู้ประสานการจัดงานเล่าว่า "ทางบริษัทดูแลพื้นที่ไม่ยอมเปิดประตูให้เราเช่าไปจัดงานเลี้ยงรอบปฐมฤกษ์ในคืนวันเสาร์ทั้งที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จนกระทั่งผมต้องไปเจรจายินยอมจ่ายเงินเพิ่มให้กับส่วนพิเศษเฉพาะคืนวันเสาร์นี้อีก 70,000 หยวน(ราว 350,000 บาท) ซึ่งหน่วยงานพาณิชย์ของสหภาพยุโรปเป็นผู้ออกเงินก้อนนี้ไป เพื่อให้งานสามารถเปิดได้"
นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่า "งานนี้ไม่ได้ทำกำไรอื่นใดเลย นอกจากเป็นตัวประชาสัมพันธ์ให้งานศิลปะและวัฒนธรรมของศูนย์ศิลปะ 798 มีชื่อเสียงมากขึ้น"
เรื่องขายหน้าจากการต้องการเพียงรายได้ของบริษัทที่เข้ามาบริหารใหม่นี้ ทำให้ศิลปินหลายคนเกิดความไม่พอใจอีกครั้ง และพากันทวงถามว่า 798 มีทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาหรอกหรือที่สร้างมันขึ้นมา ไม่มีศิลปินเข้ามาบุกเบิกพื้นที่นี้จะเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างสูงจากทั่วโลกเช่นนี้หรือ
สำหรับเรื่องนี้ ศิลปินชื่อ "กวง เหลาอู๋" ผู้ซึ่งย้ายออกจาก 798 ไปเกือบ 10 ปีแล้วกล่าวว่า "ศิลปะจะเจิดจรัสก็ต่อเมื่อมีศิลปินอยู่"
ซึ่งเขาเห็นว่าพฤติกรรมของกลุ่มนายทุนที่บริหารพื้นที่อยู่ทุกวันนี้กำลังกดดันให้ศิลปินที่ตั้งรกรากและสร้างที่นี่ขึ้นมาโยดย้ายออกไปกันหมด และเมื่อนั้น 798 ก็จะกลายเป็นบ้านที่ไม่มีจิตวิญญาณ
และหลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า UCCA ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดใน 798 ก็แสดงเจตจำนงค์ที่จะย้ายออกไป ด้วยเหตุผลว่าทั้งคู่แก่ชราและไม่มีลูกหลานเข้ามาดูแลกิจการต่อให้ แต่งานนี้ทางการจีนได้ยื่นมือเข้ามาทันที ด้วยว่าสองสามีภรรยาชาวฮอลแลนด์นี้เป็นผู้สะสมงานศิลปะร่วมสมัยของจีนรายใหญ่ที่สุด ถ้าหากย้ายออกไปก็หมายถึงว่าต้องนำผลงานที่มีมูลค่ามหาศาลออกไปด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดความปั่นป่วนในแวดวงศิลปะของจีนที่มูลค่ากำลังพุ่งสูงขึ้นทุกวี่วัน
การขยับของ UCCA ครั้งนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นการร่วมด้วยช่วยต่อต้านราคาเช่าพื้นที่ด้วยหรือไม่ แต่ก็มีพลังอย่างยิ่งที่ทำให้ภาครัฐยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาลที่อยู่พื้นที่ทองคำแห่งนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าศิลปินผู้สร้าง 798 อาจจะได้รับการกอบกู้และช่วยเหลือมากขึ้นก็เป็นได้
"เซเว่น สตาร์ต้องขึ้นค่าเช่าให้พอเหมาะกับความสามารถในการจ่ายจริงของศิลปิน" กวง เหลาอู๋ ให้ความเห็นเสริมอีกครั้ง
ศิลปินทุกคนยอมรับว่า 798 ต้องมีตัวกลางเข้ามาบริหารและจัดการพื้นที่ให้มีความเป็นระบบระเบียบเพราะย่อมเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนสนใจงานศิลปะมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าพื้นที่แห่งนี้จำเป็นต้องมีศิลปินอยู่ด้วย นอกจากจะเป็นผู้ค้นพบและสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่มีใครคิดจะเข้ามาดูแลแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของ 798 เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ทุกทั่วสารทิศหันหน้ามาทางประเทศจีน ในฐานะศูนย์กลางของศิลปะร่วมสมัยอย่างแท้จริง
งานนี้คงต้องหันมาพิจารณากันใหม่ในฐานะน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า จับมือพัฒนาร่วมกันไป น่าจะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง เพราะดูแล้วว่าทุกองคาพยพต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกันจึงจะดีที่สุด
อย่าลืมว่า "798" ถ้าไม่มี "ศิลปิน" ก็คงยังเป็นโรงงานร้างอยู่อย่างเก่า
พัลลภ สามสี