นานาเมนูแซ่บ
เมื่อผูกข้อมือแล้วก็เป็นพิธีรดน้ำขอพร ซึ่งทางลาวนิยมรดกันที่ด้านหลัง ประมาณตรงคอเสื้อ รดเบาๆ เพื่อให้น้ำไหลเย็นชุ่มฉ่ำร่างกายคลายร้อน โดยฝ่ายเด็กๆ ก็จะไปขอให้ผู้ใหญ่รดให้ก่อนแลละขอพร ก่อนที่จะรดผู้ใหญ่กลับเล้กน้อยพรเป็นพิธีและอวยพรกลับ
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการตามฮีตตามคองของลาวแล้ว ท่านทูตสมดี บุญคุ้ม เอกอัครราชทูตลาว ประจำประเทศจีน และภริยา พร้อมด้วยอัครราชทูตฝ่ายต่างๆ ก็ออกมาเปิดฟอร์รำวงมาตรฐานแบบลาว เดินเป็นวงเกี้ยวกันไปช้า ขณะที่พิธีกรก็จะเชิญชวนแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ เข้ามาร่วมรำวงปีใหม่ด้วยกัน
หลังขึ้นเพลงที่สอง จังหวะของเพลงก็จะเร็วขึ้น เพระเปลี่ยนเป็นรำเต้ย รอบนี้พิธีกรก็จะประกาศเชิญวัยรุ่นเข้ามาร่วมรำวงบ้าง
ช่วงนี้ก็เป็นเวลารับประทานอาหาร ซึ่งทางสถานทูตตระเตรียมไว้มากมายเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผัดเส้นจัทน์ใส่เลือดเป็ด ลาบปลา(ทั้งดิบและสุก) ไส้กรอกปิ้ง เนื้อวัวย่าง ปลาทอด ปลาย่าง น้ำพริกหนุ่ม ผักสดเคียงชนิดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือ ข้าวเหนียว และส้มตำ ซึ่งอย่างหลังนั้นเป็นโต๊ะพิเศษ ที่เตรียมเครื่องปรุงสำหรับตำบักหุ่งไว้อย่างดี ทั้งครกหินดินเผา มะละกอสับ แครอทฝาน มะเขือเทศ เลมอน พริกสด น้ำปลาและกะปิ ที่ว่าพิเศษก็เพราะว่า โต๊ะนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสมาแสดงฝีมือการตำของตัวเอง ชอบรสไหน เผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน ก็จัดการใส่ ปรุง และตำเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมตำบักหุ่งหรือส้มตำที่อยู่ในหัวใจของคนลาวทุกคน
ส่วนสิ่งที่ขาดได้ก็คือเครื่องดื่มสำหรับเฉลิมฉลองที่เสริฟตั้งแต่พิธียังไม่เริ่ม จนสายัณห์ตะวันรอนก็ไม่หมดไม่สิ้น
พอทุกคนเริ่มอิ่มหมีพีมันกันแล้ว ความสนุกที่แท้จริงของวันสงกรานต์ก็เริ่มขึ้นจากฝอยน้ำบางๆ ที่กระเซนมาจากปลายขวดน้ำพลาสติกของเด็กสาวชาวจีน ลูกของเพื่อนพนักงานแผนกภาษาลาวของซีอาร์ไอที่ชื่อ "ซินซิน" ที่สาดไปโดนนักศึกษาลาวคนหนึ่ง การสาดน้ำจริงๆ จึงเริ่มขึ้น โดดยทุกคนมีขวดพลาสติกเล้กๆ เป็นอาวุธ วิ่งเติมน้ำมาสาดใส่กันอย่างสนุกสนาน
โชคดีที่อากาศของบ่ายวันเสาร์กลางเดือนเมษายนนี้ อุณฆ๓ุมิพอเหมาะที่จะเล่นน้ำได้โดยไม่หนาวสั่น ทุกคนจึงสนุกสานวิ่งหยอกล้อกันกลางสายน้ำ คนที่ไม่รู้จักกันก็สาดน้ำใส่กัน ซึ่งนี่เป็นธรรมเนียมที่น่ารักอย่างหนึ่งทุกครั้งที่ได้เล่นสงกรานต์ ทำให้เกิดความเป็นมิตรกันมากขึ้น เปิดเผยมากขึ้น และชุ่มฉ่ำหัวใจปีใหม่กันมากขึ้น
แต่งานเลี้ยงไหนก็ย่อมต้องมีวันเลิกลา เย็นวันนั้น เหล่านักเรียนนักศึกษาก็พากันย้ายจากลานสนามหญ้าเข้าไปอยู่ในห้องรับแขกของสถานทูต ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะรักกีฬามากกว่าการดื่มก็เปลี่ยนชุดเข้าไปเล่นแบตมินตันที่คนลาวเรียกว่า "ปีกไก่" กันอย่างเอาจริงเอาจัง และอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้าขั้นวัยผู้ใหญ่ก็แยกไปยังลานเปตองที่คนลาวเรียกว่า "ตีบูล" กีฬายอดฮิตที่เล่นได้ทั้งวันทั้งคืน
พนักงานซีอาร์ไอที่ไปร่วมงาน