ในที่สุดทางการจีนก็จำต้องเปิดสถานีตรวจวัดดังกล่าวขึ้น และยังรายงานสภาพอากาศเป็นรายชั่วโมงด้วย และเพื่อทำให้ประชาชนมีความเชื่อถือในค่าที่วัดได้จากหน่วยงานของรัฐเองมากขึ้น จึงนอกจากรายงานค่าพีเอ็ม 2.5 แล้ว ยังรายงานค่าระดับของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก(พีเอ็ม 10) ด้วย ทั้งยังมีข้อมูลอื่นๆ ในเว็บไซต์เพื่อช่วรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่ขึ้นในการช่วยกันไม่ก่อมวลพิษในอากาศ
ซึ่งในวิกฤตอากาศครั้งนี้ ก็ชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานตรวจวัดคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติรายชั่วโมงของจีนมีค่าออกมาใกล้เคียงกับที่สถานทูตอเมริการายงานอย่างเห็นได้ชัด แม้ทางการจีนจะเคยออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่ามาตรฐานการตรวจวัดของอเมริกานั้นสูงเกินที่จะใช้กับจีนที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาก็ตาม
ข่าววิกฤตอากาศของจีนในรอบ 10 ปีนี้ ไม่เพียงเป็นที่สนใจของคนจีนเท่านั้น หากแต่กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วทุกมุมโลก สื่อนานาแขนงไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ตต่างรายงานข่าวนี้ตลอดทุกวัน
งานนี้ฝ่ายจราจรก็ออกมาเตือนผู้ขับขี่ให้ใช้ความเร็วที่พอเหมาะ เพราะทัศนวิสัยที่ดีมีเพียงระยะไม่เกิน 50 เมตรเท่านั้น
ด้านฝ่ายการศึกษาก็ออกมาประกาศให้ทุกโรงเรียนระงับกิจกรรมกลางแจ้งของนักเรียนทุกชนิด
ฝ่ายสาธารณสุขเตือนว่าให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากปิดปากและจมูกเมื่อจำเป็นต้องออกไปทำกิจธุระนอกบ้าน และถ้าเป็นไปได้ให้อยู่แต่ในบ้านจะดีที่สุด
ด้านโรงพยาบาลต่างๆ ก็ออกมาระบุว่าช่วงเดียวกันนี้มีเด็กเล็กมาเข้ารับการรักษาโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอากาศจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ จึงเตือนให้ผู้ปกครองคอยดูแลมากขึ้น และยังต้องระมัดระวังกับโรคไข้หวัด เอช 5 เอ็น 1 ที่พร้อมแพร่กระจายอย่างยิ่งในอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้
ขณะเดียวกัน ในเมืองอื่นทางภาคเหนือ กลาง และตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น เหอเป่ย เทียนจิน ซานตง จี๋หลิน ก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากมลภาวะทางอากาศที่เลวร้ายนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้เป็นที่ตระหนกกันว่าจะต้องหาทางช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
สำหรับหนทางแก้ไขนั้นทางการจีนก็ออกมาประกาศว่า วิถีทางเดียวเท่านั้นที่ทำให้คือต้องรอให้อากาศคลี่คลายตัวเองหลังจากมีแสงอาทิตย์และลมพัดมากขึ้นในอีกไม่กี่วัน ขณะเดียวกันก็ได้ขอร้องให้โรงงานผลิตรถยนต์ที่อยู่รายรอบตัวเมืองลดการปล่อยอากาศเสียลงร้อยละ 30 ขอความร่วมมือกับอาคารขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้างให้ลดงานลงชั่วคราว พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลงในช่วงนี้
เหตุการณ์นี้น่าจะทำให้เกิดการคุยกันอย่างจริงจังในหน่วยงานรัฐบาลมากขึ้น ในการหาทางจัดการปัญหาในระยะยาวและถาวร เพราะมลภาวะเช่นนี้สร้างผลกระทบกับทุกคนไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม อีกทั้งยังเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของประเทศ จะมัวแต่มาอ้างว่าเป็นผลจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่อย่างเดียวก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะหนทางเดียวในอนาคตคือ จีนต้องมีหนทางที่ชัดเจนของตนเอง โดยเฉพาะในการอนุรักษ์ภาวะแวดล้อม ซึ่งก็เป็นหนึ่งในนโยบายของคณะกรรมการพรรคฯ ชุดใหม่ ซึ่งเหตุวิกฤตครั้งนี้ น่าจะมีผลให้กระบวนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมนี้ได้รับการกระตุ้นให้ถูกขับเคลื่อนเร็วขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่งอย่างน้อยตอนนี้หน่วยงานรายงานจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศก็มีความแม่นยำมากขึ้น ไม่ได้ปกปิดหรือบิดเบือนอย่างที่คนเคยเข้าใจผิดมาก่อนหน้านี้แล้ว
พัลลภ สามสี