จากแผนที่ จุดที่เรายืนอยู่นี้คือประตูทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเก่า ส่วนเกสต์เฮ้าส์ที่จองไว้อยู่ประตูใต้ หากจะเหมารถไปก็คงลำบากต้องเป็นรถตู้ เพราะแท็กซี่คันเดียวไม่เพียงพอแน่นอน ครั้นจะนั่งรถเมล์ก็ไม่รู้ว่าลงป้ายไหน ขณะจะหันหน้าไปพึ่งรถไฟใต้ดินที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้ไม่เกินขวบ ซึ่งน่าจะตรงไปยังที่พักเราได้นั้น พัลลภก็รีบมายื้อเพื่อนไว้
"เกสต์เฮ้าส์ที่เราจองมีบริการรถรับส่งด้วย แถมที่นี่มีบริการรับจองทัวร์ไป Terra cotta ด้วย"
"ไปที่ไหนนะ ชื่อเหมือนร้านกาแฟเลย" ฉันถามยอกทั้งๆ ที่รู้ว่าพัลลภกำลังหมายถึงสุสานหุ่นทหารจิ๋นซี แต่ต้องการแกล้งที่เขามักติดคำภาษาอังกฤษเสมอ
"งั้นตอนพวกเราไปกัน เธอก็ไปหาร้านกาแฟนั่งแง่วรอคนเดียวเลยนะจ๊ะ"
ว่าแล้วพัลลภก็รีบเดินไปหาสาวจีนที่เดินชูป้ายชื่อของเขาหราอยู่ ก่อนจะกวักมือเรียกให้เราเดินตามไป
เกสต์เฮ้าส์ที่จองไว้ชื่อว่า "เซียงจื่อเหมิน ยูธ โอสเทล" ตั้งอยู่ตรงประตูใต้ของกำแพงเมืองโบราณ ย่านนี้ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเก่า ที่สำคัญยังติดกับที่พัลลภมักเรียกติดปากว่า "Bar Street" ที่ทุกร้านย่านนี้น่าจะเปิดบอลยูโร 2012 ดูกันอย่างคึกคักแน่นอน
โอสเทลแห่งนี้สร้างความประทับใจได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่เป็นไม้หนาหนักขนาดใหญ่แบบจีนของแท้ และต้องก้าวข้ามธรณีประตูที่สูงเทียมเข่า
"รู้ไหมว่าทำไมคนจีนถึงทำธรณีประตูสูงขนาดนี้" เมธีถามขึ้นหลังจากเราก้าวข้ามผ่านกันมา และเดินผ่านส่วนคาเฟ่ มานั่งรอที่หน้าเค้าท์เตอร์เช็กอินแล้ว
"เอาไว้กันขโมยแหงๆ" ยุรีตอบตาแป๋ว
"ม่ายช่ายๆ" เมธีลากเสียงยาวและทำหน้ากลอกไปมา "เขาเอาไว้กันผีต่างหาก"
"กันยังไงอ่ะพี่" ฉันถาม
"เคยดูหนังผีจีนป่ะล่ะ ที่มันกระโดดดึ๋งๆ ไง ธรณีประตูสูงๆ แบบนี้ยังไงก็กระโดดไม่ผ่าน"
"นี่พี่รู้จริงหรือว่าเดา" พัลลภถาม
"จริง...ไม่ได้เดา" ว่าแล้วเมธีก็ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนจะขำออกมาดังๆ แต่ก็ไม่กล้า
"ถึงผีจะกระโดดข้ามมาได้ ผมก็ไม่กลัว มันมาใกล้กลั้นหายใจก็สิ้นเรื่อง ไม่ก็เตะตัดขามันก็เข้ามาใกล้เราไม่ได้แล้ว" พัลลภหันมาโวจากหน้าเค้าท์เตอร์ หลังรวบรวมพาสพอร์ตของเราทุกคนไปให้เจ้าหน้าที่ซีร็อกซ์ไว้บันทึกการเข้าพัก
"ไม่พูดเรื่องผีได้ป่ะ ที่นี่ยิ่งเป็นบ้านโบราณด้วย น่ากลัวจะตาย เดี๋ยวคืนนี้นอนไม่หลับ" ยุรีโพล่งขึ้นมาหลังจากนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกลัวผี
"เซียงจื่อเหมิน ยูธ โอสเทล" สร้างขึ้นในอาคารโบราณติดกับกำแพงเมืองชั้นในของซีอาน ตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบจีนขนานแท้ มีรูปปั้นหุ่นทหารจิ๋นซีสองตัวขนาดเท่าจริงยืนตระหง่านอยู่ในส่วนแบ่งระหว่างที่พักและส่วนของบาร์ ซึ่งมีทั้งโต๊ะไม้กับเก้าอี้เข้าชุด และส่วนที่เป็นโซฟายาวที่จะนั่งหรือนอนหลับยามบ่ายสักงีบก็ยังได้
"สงสัยเจ้าของโรงแรมนี้เคยไปเมืองไทยมาก่อนเนอะ" เมธีตั้งคำถามขึ้นมาอีก
"ทำไมอีกล่ะทีนี้" ตะวันซึ่งเงียบมานานสงสัยที่มีเพื่อนขี้สงสัยขนาดนี้
"ก็ดูโต๊ะไม้พวกนี้สิ เหมือนร้านลาบบ้านเราเลย สงสัยแกคงไปกินข้าวเหนียวน้ำตกมา แล้วเอาไอเดียมาสั่งทำที่นี่ ดีนะที่อยู่เมืองจีน ถ้าเกสต์เฮ้าส์ที่ไทยแต่งแบบนี้คนเข้ามาพักคงเข้าใจผิดว่าเป็นร้านลาบ"
"ลาบเลิบอะไรพี่ อย่าพูดได้ไหม ยิ่งไม่ได้กลับไทยมานานแล้ว คิดถึงน้ำตก ซกเล็ก ตำปลาร้า ลาบเป็ดยโสฯ โอ๊ย...พูดแล้วน้ำลายไหล" พัลลภซึ่งไม่ได้กลับเมืองไทยมาเกือบปี พอได้ยินคำว่าลาบ เลือดลาวในกายของเขาก็เดือดพล่านและพล่ามออกมาเป็นชุดประหนึ่งจะลงแดง "ไปๆ เอาของไปเก็บแล้วเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว"
ชาวคณะช้อปปิ้งที่ย่านหุยหมิงเจีย