"โอ้โห กว้างใหญ่มาก สมัยก่อนคงต้องเอาม้าเอาคนขึ้นมาได้เป็นแสนคนเลยนะเนี่ย" ตะวันอุทานเมื่อเห็นขนาดของสันกำแพง
"น่าจะกว้างเกิน 15 เมตรนะเนี่ย" ฉันคะเน
"ดูจากแผนที่นี่แล้ว เอาตัวเลขแต่ละช่วงมาบวกกัน จากป้อมนี้ไปถึงป้อมนั้น และวนมาจนครบรอบกำแพงนี้มีความยาวรวมกันน่าจะมากกว่า 15 กิโลเมตร" ตะวันพูดทั้งที่ก้มหน้ามองแผนที่ในมือ
"เราจะเดินกันไหวเหรอ" ยุรีเสียงอ่อย "เช่าจักรยานกันไหม ที่ตรงนั้นน่ะ รถไฟฟ้านำเที่ยวก็มีนะ"
"นั่งรถก็อดเห็นวิวข้างทาง ขี่จักรยานก็ต้องเหนื่อยเอามาคืน สู้เดินไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ต้องเดินให้ครบรอบ วิวสองข้างทางไม่ต่างกันมากหรอก แต่โซนประตูใต้นี้เท่านั้นแหละที่จะเห็นบ้านเรือนเก่าๆ ทิศอื่นๆ ก็มีแต่ตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่ เดินไปถึงป้อมข้างหน้านี้ก็จะมีทางลงแล้ว ไม่น่าจะเกินหนึ่งกิโลฯ" พัลลภ ผู้เคยพิชิตกำแพงนี้มาแล้วให้ข้อสังเกต
"เอาไงดี" ฉันถามแล้วมองหน้าทุกคนอย่างขอความเห็น
"เดินดิ เราว่าเดินช้าๆ เห็นอะไรเยอะดี" เมธีสนับสนุน
"ช่าย...ย่อยแป้งที่เรารับมาเมื่อกลางวันตั้งเยอะนั่นด้วย" ตะวันพูดแล้วหันไปมองหน้าคนที่สั่งบะหมี่มาทีเดียวตั้งหลายชาม จนเดือดร้อนเพื่อนทุกคนต้องช่วยกันกินให้หมด
สิ้นประโยคนี้เราทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่เราทุกคนก็สนุกสนานจากการท่องเที่ยว ได้เห็นสิ่งใหม่แปลกตาที่น่าประทับ โดยเฉพาะกำแพงเมืองโบราณที่ถูกบูรณะขึ้นมาสมัยราชวงศ์หมิงแห่งนี้ ช่างยิ่งใหญ่และงดงามอย่างยิ่ง ประกอบกับเสียงดนตรีจีนโบราณที่เล็ดลอดผ่านแมกไม้มาจากสวนสาธารณะโดยรอบกำแพงที่ชาวจีนมารวมตัวกันเล่นด้วยความเพลิดเพลินด้วยแล้วยิ่งทำให้การเดินของเราสุนทรีย์ยิ่งขึ้น"
"ใครบอกกิโลฯ เดียว" ฉันบ่นอุบ หลังเดินหาทางลงมากว่าชั่วโมง มองนาฬิกาก็ปาเข้าไปทุ่มเศษแล้ว แม้ม่านฟ้ายังไม่ปิดสนิท แสงอาทิตย์ยังรำไร แต่ใจก็ท้อ เพราะไม่รู้ว่าจะถึงทางออกเมื่อไร ครั้นจะให้เดินกลับไปที่เดิมก็มาไกลโขเกิน
"รู้สึกเหมือนคนที่เคลื่อนไหวการเมืองที่เมืองไทยเลยอ่ะ เดินมาไกล จนไม่รู้จะย้อนกลับยังไง จะเดินต่อก็ไม่รู้ทางออกอยู่ที่ไหน" พัลลภซึ่งยังซ่อนดวงตาไว้ภายหลังแว่นกันทั้งที่ฟ้าจะมืดแล้วพูดขึ้นมา
"ฮ่าๆ เข้าใจเปรียบ แต่ยังดีนะที่บนนี้มีส้วมไม่งั้นเรี่ยราดกันทีเดียว อันนี้เป็นการเมืองไหม" ตะวันเสริม
"เป็นดิ การเมืองเรื่องขี้ๆ ไง พี่" พัลลภยังไม่หยุดจ้อการเมือง
"เฮ้ย!ตรงนั้นมีประตู" เมธีมองเห็นก่อนเพื่อนทั้งที่สลัวๆ และไกลพอควร
"จริงๆ ด้วย มีประตูจริงๆ ด้วย" ฉันรีบคว้าแว่นขึ้นมาสวม เพื่อดูให้ถนัดๆ ตา
เราทุกคนต่างร้องไชโยขึ้นมาพร้อมกัน แล้วรีบดิ่งไปที่ประตู เพราะกลัวว่ามันจะปิดเสียก่อนที่เราจะก้าวพ้นออกไป
การได้เดินย้อนกลับ แต่ไม่ใช่บนหนทางเดิม น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก เราจึงมีความสุขกับการที่เท้าได้กลับมาย่ำเดินอยู่บนพื้นดินจริงๆ ไม่ใช่บนกำแพงที่มีทางเลือกให้เพียงสองทาง คือเดินหน้ากับถอยหลัง อ่อ...และอีกทางคือกระโดดลงมา ซึ่งไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่นอน
บนทางเดินเลียบกำแพงนี้ เราพบร้านบาบีคิว(พัลลภเรียกของเขาอย่างนี้) ซึ่งน่าจะเป็นเจ้ามุสลิม เพราะมีปิ้งปลา ไส้ปลา แพะ เนื้อ ไก่ แต่ไม่มีหมูแต่ประการใด เราเลือกนั่งที่นี่ เพราะชอบลีลาการปิ้งของคุณลุงเจ้าของร้านที่เอาใจใส่การทำงานของตนเองอย่างละเอียดทุกขั้นตอน และบรรยากาศนั่งโต๊ะข้างถนนที่มากับทัวร์ไม่มีทางได้ชิมแน่นอน
นอกจากปิ้งย่างจำนวนมากแล้ว เราทุกคนต่างให้รางวัลกับความเหน็ดเหนื่อยและความร้อนที่ประสบมาตลอดทั้งวันด้วยเบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อ "ฮั่นสึ" ซึ่งรับผลิตให้โดยบริษัทชิงเต่า และเครื่องดื่มรสเบียร์แต่ไม่มีแอลกอฮอร์สีเหลืองสัปรดให้กับยุรี ซึ่งดูเป็นสาวใสที่สุดในทัวร์ของเรา
เท่านี้ก็เป็นความสุขของวันอย่างวิเศษแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราต่างกุลีกุจอตื่นให้ทันอาหารเช้า เพราะต้องขึ้นรถตอนเก้าโมง แต่เมื่อนบจำนวนแล้วพบว่ายุรีกับเมธีไม่น่าจะทันอเมิรกันเบรกฟาสต์ที่ร้านอาหารของเกสต์เฮ้าส์แน่นอน เพราะตอนที่ฉัน พัลลภ และตะวันนั่งรับประทานกันอยู่นั้นก็ปาเข้าไปแปดโมงครึ่งแล้ว ส่วนจะให้สั่งให้ก็ไม่รู้จะถูกปากไหม จึงได้แต่รอและลุ้มให้ลงมาทัน
คุณลุงผู้ค้บพบสุสานหุ่นทหารจิ๋นซีกำลังมอบลายเซนต์ให้ผู้ซื้อหนังสือ
ที่จริงเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะช้ากันเท่าไรหรอก หากแต่เพราะว่าเมื่อคืนวานราตรีของเราไม่ได้จบลงที่ร้านปิ้งย่างเท่านั้น เพราะดันเป็นวันเกิดของพัลลภพอดี พลพรรคจึงยกกันไปฉลองต่อที่ผับในบาร์สตรีตที่อยู่ห่างจากเกสต์เฮ้าส์ไปไม่ไกล แถมไปถึงคนยังล้นหลาม แน่นนขนัดไปทุกร้านจนเราแปลกใจ ด้วยเราลืมไปว่าคืนนี้มีการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ด้วยนั่นเอง
เมื่อวันเกิดรวมกันกับวันสนุกของคนชอบดูฟุตบอล ราตรีที่ผ่านมาจึงเลยเถิดหลังเที่ยงคืนไปหลายร้อยนาที
แต่ก็แปลกที่คนอยู่หลังสุดอย่างพัลลภกับตะวันสามารถตื่นได้ แถมตื่นก่อนฉันที่เข้านอนก่อนใครเพื่อนเสียอีก
"ไม่ง่วงกันเหรอ" ฉันถามขณะวางมีดตัดชิ้นไข่ดาวให้พอคำ
"เมื่อกี้เราสองคนถึงได้สั่งเอสเพรสโซไปคนละช็อตไง แบบนี้ง่วงไหมล่ะ" ตะวันซึ่งสวมแว่นดำตั้งแต่เดินลงบันไดมาตอบขณะกรีดเนยให้ทั่วแผ่นขนมปัง